ในสภาวะที่คนเมืองประสบกับน้ำท่วม การดำเนินชีวิตประจำวันอาจไม่ราบรื่นเหมือนภาวะปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนส่วนหนึ่งที่ประกอบอาชีพรับเงินเป็นรายเดือน ทั้งภาคเอกชนและราชการ จำเป็นต้องขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจให้เดินต่อ เพื่อไม่ให้ระบบรายย่อยอื่นๆ ที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กันไม่หยุดนิ่ง
ภายใต้กรอบกติกาที่มนุษย์สร้างขึ้น ภายใต้ระบบความเป็นเมือง ซึ่งเมื่อมองภายใต้กรอบธรรมชาตินิยมแล้ว ย่อมถือว่ามีความไม่เป็นธรรมชาติอยู่เลย แต่เมื่อมองในแนวมนุษย์นิยมแล้วอาจถือว่าเป็นความธรรมดาของมนุษย์ที่พยายามเอาชนะธรรมชาติมาโดยตลอด
ในภาวะเช่นนี้ อาจไม่ต่างจากยุคสมัยของมนุษย์อื่นๆ ที่เกิดการเรียนรู้ และข้ามพ้นไปจากกรอบที่เคยยึดถือ และหันมาทำความเข้าใจที่จะอยู่รอดต่อไป ภายใต้ระบบความสัมพันธ์ของคนที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในยามที่ประสบกับปัญหาร่วมกัน
เมื่อภาระหน้าที่ในการประกอบอาชีพ จำเป็นต้องเดินทางจากบ้านไปยังที่ทำงาน ส่วนใหญ่ในภาวะที่สภาพเส้นทางปกติ อาจแบ่งกลุ่มตามยานพาหนะที่ใช้ เป็น 2 กลุ่ม คือ มีใช้เป็นส่วนตัว กับ ใช้ของสาธารณะ ซึ่งในยามภาวะปกติสภาพของสังคมเมืองย่อมแบ่งแยกคนให้สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองมากว่าพึ่งพิงโดยตรงกับคนอื่น ทุกๆคนจึงมีความสามารถในการเดินทาง ตามที่ได้เรียนรู้มาเป็นอย่างดี
สำหรับในภาวะที่ไม่ปกติของเมือง แต่เป็นภาวะธรรมชาติของน้ำ การปะทะกันของสิ่งที่ปรากฏแก่สายตา ทำให้สภาพของถนนที่เป็นช่องทางการเดินทางที่สำคัญ เต็นไปด้วยน้ำ รถยนต์ส่วนตัวไม่อาจออกมาใช้ได้เหมือนปกติ แต่เมื่อคนเมืองมีความจำเป็นต้องออกไปทำงาน จึงเกิดความสัมพันธ์ของคนที่สร้างขึ้นเพื่อสามารถให้บรรลุเป้าหมายในการเดินทาง คือ
คนที่ใช้บริการขนส่งมวลชน ก็ยังใช้เช่นเดิม เพียงแต่อาจเปลี่ยนจากรถเมล์เป็นรถทหาร โบกรถกระบะ และอาจเปลี่ยนจากนั่งเงียบคนเดียว ไปเป็นได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมทางมากขึ้น อยากสื่อสารกับคนรอบข้าง หรือแม้กระทั้งได้เห็นความเป็นผู้นำตามธรรมชาติ
คนที่มีรถสูงพอที่จะวิ่งฝ่าน้ำได้ ก็กลายเป็นผู้ประกอบการขนส่งมวลชนชั่วคราว ทั้งจากการรับส่งญาติมิตร เพื่อนร่วมงานแล้ว ยังเป็นอาสาพาผู้อื่นที่ประสบภัยไปส่งด้วย
คนที่ปกติอาจขับรถหรือไม่ขับรถเอง แต่มีความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่สามารถเข้าถึงทรัพยากรได้มากกว่าคนทั่วไป ในทีนี้คือยังสามารถเดินทางได้สะดวก ก็จะมีคนคอยไปรับส่งอยู่เสมอ
คน 3 กลุ่ม ดังกล่าวนี้ อาจไม่มีปัญหานักในการเดินทางในสภาพถนนที่ไม่ปกติ คือยังมีความสามารถที่จะไปได้ โดยอาศัยความสัมพันธ์ 3 อย่าง คือ อำนาจที่มีอยู่ รถตัวเองที่ยังวิ่งอยู่ และขนส่งมวลชนที่มีอยู่
แต่ยังเหลืออีกกลุ่มหนึ่งที่ในยามปกติก็ขับรถไปทำงาน เมื่อประสบกับภาวะน้ำท่วมบางส่วนก็ยังมีความสามารถได้ปรับตัวไปใช้ขนส่งมวลชน แต่ยังคงมีอีกจำนวนหนึ่งที่อาจเป็นไปไม่ได้ เมื่อเปรียบเทียบภาพของคนที่ขับรถไปทำงานนับสิบปีมาเป็นคนที่ต้องปีนขึ้นรถที่สูง แม้ในยามปกติก็ไม่เคยขึ้นรถเมล์ แล้วก็ไม่สามารถเข้าถึงอำนาจใดๆ ที่ซ้ำร้ายกว่านั้นก็ไม่มีความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านเพื่อนฝูงร่วมงานอื่นพอที่จะอาศัยหรือไปเป็นเพื่อนด้วย
กลุ่มสุดท้ายนี้จึงเป็นกลุ่มที่สังคมได้ผลักดันให้เราเดินไป แต่กลับเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดในยามที่ประสบกับภาวะที่ไม่ปกติของเมือง น่าจะเป็นหนทางที่ทำให้เราเข้าใจว่า ทำไมต้องทำถนนให้แห้ง และรักษากรุงเทพชั้นใน เพราะหากสายน้ำเดินทางไปยังจุดนั้น ความน่าวิตกไม่ใช่เรื่องของน้ำอย่างเดียว หากยังรวมถึงความสัมพันธ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นแกนของเมืองจะถูกทดสอบไปด้วย เมื่อถึงวันนั้นจริงเราคงจะได้รู้ว่าจะมีสิ่งใดหลงเหลืออยู่ สิ่งใดคือของจริง สิ่งใดคือความสัมพันธ์ที่ช่วยให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้